เจ มณฑล แจงหายหน้าทำเบื้องหลัง จ่อปล่อยอัลบั้มเต็มปีหน้า รับมีคนคุย ไม่คิดแต่ง

0
986

 

หายหน้าหายตาไปจากเบื้องหน้าเพราะทุ่มเวลาให้กับงานเบื้องหลัง สำหรับเจ มณฑล ล่าสุดเจ้าตัวออกมาเปรยๆ ในงานแถลงข่าว คอนเสิร์ตการกุศล จีวันแบนด์ “แจกดวงตา” 12 ปี หมุนกงล้อพระธรรมจักร ว่ากำลังเตรียมผุดโปรเจ็ก ที่ซุ่มทำมากว่าหนึ่งปี พร้อมอัพเดทเรื่องหัวใจที่ยอมรับไม่โสดแล้ว แต่ไม่คิดเปิดตัว หรือแต่งงานมีครอบครัว เพราะยังไม่พร้อม 

 

“คุณวิฤทธิ์ได้ชวนผมมา ได้คุยกันเรื่องดนตรีมาสักพักหนึ่งแล้ว เขาก็จะจัดคอนเสิร์ตอยู่ด้วย ถ้ามีโอกาสก็อยากให้เข้ามาช่วย ผมก็รับผากว่าจะเข้ามาช่วยมาทำ จริงๆ ผมไม่ได้ทำเพลงทางด้านธรรมะ ช่วงนี้เรามีโปรเจ็กของตัวเองในปีหน้า เลยได้ลองมาทดลองดู แนวดนตรีไม่ได้เปลี่ยนขนาดนั้น แต่มันจะมีเพลงที่ให้กำลังใจด้วย และอาจจะมีบางส่วนมาแสดงในงานนี้ได้ พอได้มาลองทำ คือผมไม่ได้ตั้งใจมาทำเพลงแนวนี้ แต่มันเป็นเพลงที่ผมทำอยู่แล้ว ผมแค่พอได้มารับหน้าที่เป็นแขกรับเชิญ และเลือกเพลงที่เราทำไว้อยู่แล้ว ที่อาจจะเข้ากับแนวในทางนี้ อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เป็นอะไรที่คิดว่าจะมาลองเล่นดู ก็ดูว่าคนฟังเขาจะรู้สึกแปลกไหม เข้ากับกระแสไหม ก็ต้องรอดูครับ ช่วงนี้ผมทำงานก็ไม่ได้ไปคาดหวังอะไรกับใคร เราก็ทำในสิ่งที่เราคิดว่าชอบที่สุด และมาแสดงให้คนได้เห็น ในปีที่ผ่านมาผมไม่ได้รับงานของคนอื่นเลย เพราะเราทำงานของเรามาโดยตลอด”

หลายคนมองว่าไม่เห็นเราทางหน้าสื่อเลย?
“ใช่ จริงๆสักพักแล้ว จริงๆเราทำของคนอื่นเราก็อยู่เบื้องหลังมา แต่ปีที่ผ่านมาเราไม่ทำของคนอื่นด้วยซ้ำ เราทำแต่ของตัวเอง เฟดออกจากวงการไหม ก็แล้วแต่งาน พออัลบั้มนี้เสร็จก็น่าจะมีงานที่ออกมา เพราะเรามีอะไรโปรโมทแล้ว ถ้ามีเหตุผลที่ออกมาเราก็ออกมา ถ้าไม่มีเหตุผลก็ไม่จำเป็น เรามีผลงานที่อยากให้คนได้ยินได้เห็น เราก็ออกมาพูดได้ แต่นอกจากนั้นเรามองว่าเรามีบางอย่างที่เรามองว่าสำคัญ หรือไม่สำคัญ เราก็ต้องเลือกเวลา ถ้าคนเลือกที่จะอยู่ตลอด ผมเข้าใจว่าเป็นวิธีการใช้ชีวิตของเรา แต่เรามีเวลาที่เราอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วยก็ได้ ผมไม่จำเป็นต้องให้คนเห็นตลอดเวลา เราถือว่าเราทำงานอยู่ในถ้ำของเรา พองานเสร็จเราก็ออกไป เร็วๆนี้จะมีงานออกมา ก็เป็นอัลบั้มดนตรีที่ผมคิดว่าเป็นโปรเจ็กที่เราไม่ได้ทำมานาน ผมไม่ได้ทำเพลงภาษาไทยมาหลายปีแล้ว ก็เป็นปีหน้า จะว้าวไหมอันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าคนที่ฟังเขาจะคิดยังไง เราแค่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราทำและเป็นตัวของเราเอง และเราชอบ ผมอธิบายไม่ถูกว่าเป็นแนวไหน ก็เป็นแนวคนฟัง ฟังไม่ยาก งานนี้เป็นเต็มอัลบั้มครับ ปล่อยทีเดียวเลยครับ ทำนานไหม ก็แล้วแต่ว่าจะมองยังไง ถ้าทองว่าที่มาเจาะกับอัลบั้มนี้ก็ปีกว่าๆ แต่เรารอที่จะทำอัลบั้มนี้ก็ 15 ปีแล้วมั้ง ถ้าเป็นศิลปินที่คนนู้จักและไม่ได้ทำมานานแล้ว การที่เราปล่อยซิงเกิ้ลออกมา กับการที่ให้เขารอมาเป็น 10 ปีแล้วเราปล่อยมาเพลงเดียว มันไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ ยิ่งเพลงออกมาไม่ดีด้วย เขาก็จะรู้สึกว่า เราคิดถึงและรอมาตั้งนาน แล้วปล่อยเพลงที่เฉยๆเนี่ย เลยคิดว่าสำหรับแฟนๆที่เขาติดนามผลงานอื่นๆมา เขาจะชอบถามว่าเจห่ยไปไหน เมื่อไหร่จะมีงานของตัวเองใช่ไหม เราเลยได้ตัดสินใจว่าโอเค พอเราอายุมากขึ้น 40แล้ว ถึงเวลาที่เราจะทำงานของตัวเองได้แล้ว แทนที่จะเก็บเอาไว้”

“20ปีที่ผ่านมา เราเตรียมที่จะทำอะไรพวกนี้โดยที่เราสร้างผลงานของตัวเองมา และเราได้มาทดลองวิธีการทำงานให้ศิลปินหลายๆคนในหน้าที่โปรดิวเซอร์ดนตรี พอเราได้ทำงานตรงนั้นมาเยอะแล้ว ใน2ปีที่ผ่านมา เรามีความรู้สึกมั่นใจและชอบในขั้นตอนทุกขั้นตอนที่เราทำได้ ค่าทำเลยน้อย เพราะเราเป็นคนเดียวที่ทำทุกอย่าง เราไม่ต้องจ้างใครเลย เพราะเราทำทุกอย่าง “

ตัวเราคาดหวังไหม?
“ผมไม่ได้คาดหวังอะไร เราแค่รู้ว่าเราได้สร้างงานออกมาสำหรับคนที่เขารอคอยอยากจะเห็นผลงานจากเรา และสำหรับคนที่เขาต้องการอะไรที่แตกต่างในวงการดนตรีไทย และเราจะทำไปเรื่อยๆ นั่นคือจุดเป้าหมายที่เราจะทำ คือผลิตงานออกมาให้มันมาได้เรื่อยๆ เราได้สร้างระบบที่จะทำตรงนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปเสียตังค์เยอะมาก ในขั้นตอนของการทำงานของตัวเอง เราผิดทุกอย่าง เราไม่รับงานนอก เพื่อที่จะทำงานของตัวเอง เหมือนเราได้คิดถึงงานตรงนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เมื่อมีคนมาใช้ห้องอัดหรือเราเอาเวลาไปทำงานของคนอื่น พอเขาจ้างเรา เราก็ต้องเอางานเขาไว้ก่อน งานเราเดี๋ยวก็ได้ พอเราผ่านมาหลายปี เราได้ตัดสินใจว่าถ้าเราไม่ปิด เราก็จะไม่ได้ทำงานของตัวเอง”

หลัใจากนี้จะทำงานของตัวเองมากขึ้นกว่ารับงานคนอื่น?
“ใช่ พอเรามาทำงานของตัวเองแล้วเรารู้สึกว่ามันสนุกกว่า เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทำงานของคนอื่นอยู่แล้ว ถึงมาดูเรื่องภาพยนตร์ ละคร เราค่อยๆ ถอยมา เพราะว่าเราชอบที่จะทำงานคนเดียวหรืออกลุ่มน้อยๆ”

ก่อนหน้านี้มีงานภาพยนตร์ ติดต่อมาเยอะไหม?
“ก็มีติดต่อมาจนเขาไม่ติดต่อแล้ว(หัวเราะ) และนักแสดงใหม่ๆก็เยอะด้วย คือผมหาวิธีที่จะหลักเลี่ยงด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าเขามีติดต่อมาหรือเปล่า ผมคิดว่าผมเองคงจะมีกำแพงในการปฏิเสธงาน บางคนอาจจะเห็นว่าเรารับงานแล้วเราค่อนข้างที่จะเลือกเยอะ เขาเลยเห็นว่าคนนี้อาจจะทำงานไม่สะดวกเท่ากับทำงานกับคนอื่นที่เจาอาจจะยอมทำทุกอย่าง เราเลยมาเน้นกับวิธีการทำงานที่สร้างสรรมากกว่า เราเห็นว่าบางทีนักแสดงเหมือนมีคนมากำกับ เราอย่กจะสร้างสรร สร้างงานขึ้นมา ถ้าเป็นส่วนภาพยนตร์หรือละครเราก็ต้องเป็นคนไปเขียนบท หรือเป็นคนกำกับแบบนั้นมากกว่า ช่วงนี้ก็ทำงานอย่างเดียว”

คนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราไม่มีแฟนเลย?
“ใช่ อีกอย่างหนึ่งที่เราก็เก็บเอาไว้ ก็ไม่ได้โสด แต่ไม่ได้เปิด ก็มีแฟนมาตลอด ก็ไม่ได้แต่งงาน ถามว่าคิดไหม แต่คิดครับ คิดว่าไม่แต่งงาน ไม่ได้จดทะเบียน ไม่ได้แต่ง ไม่ได้อยู่ด้วยกันครับ ไม่มีภาพคู่หรืออะไร จริงๆคงเปลี่ยนมาบ่อยมั้งครับ”

ในชีวิตคิดว่าคงจะไม่มีชีวิตคู่ที่จะแต่งงาน?
“อันนี้เราก็ไม่อยากจะพูดว่ามีหรือไม่มี แต่เราคิดว่าเรายังไม่พร้อม ยิ่งพอเราทำงานเยอะๆ เรายิ่งรู้ว่าเราไม่พร้อมที่จะทำงานตรงนั้น”

ไม่ได้เกี่ยวว่ามีความเชื่อเรื่องการแต่งงาน?
“ไม่ค่อยเชื่อด้วยแหละครับ แต่เราคิดว่าการที่เรามาอยู่เป็นคู่กันก็มีประโยชน์หลายๆอย่าง ยิ่งพออายุมากแล้ว เราเลยไม่ทราบว่าอีก 10 ปีเราจะเปลี่ยนความคิดก็ได้ แต่ 40 ยังไม่คิด ยังไม่พร้อม และมีอะไรที่เราอยากจะทำอีกเยอะ รู้ว่าใช้ชีวิตคู่แล้วเราจะมีความรับผิดชอบ เราจะเห็นหลายๆคนที่เราทำงานมาด้วยกัน พอเขาถึงวัยนี้ จะไม่ค่อยเห็นคนที่จะมาเริ่มทำงานอย่างที่เราจะเริ่มโปรเจ็ก เพราะเขาก็มีหน้าที่ มีความรับผิดชอยกับครอบครัว เขามีงานที่ต้องทำ เลือกสิ่งที่มั้นคงมากกว่า”

ไม่คิดถึงเรื่องมีลูก?
“เรื่องลูกนี่แน่นอนเลยไม่มี”

แฟนเข้าใจใช่ไหม?
“เขาก็ต้องเลือก เราก็ต้องเลือก มันไม่ได้ยาก ก็จริงๆอย่างที่บอกว่าปัญหาของโลกหลายๆอย่างมันมาเพราะคนเยอะเกินไป การที่เรามีลูกก็เป็นคนก่อปัญหา ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ควรจะมี คนควรจะมีลูกให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมีได้”