ไวด์ เฟธ กรุ๊ป ทุ่ม 800 ล้านบาท ขยายโรงงานแห่งใหม่ เพิ่มกำลังการผลิต “ขนมข้าวอบกรอบ-ไม่มีกลูเตน” รับเทรนด์สุขภาพในตลาดโลก ตั้งเป้าเติบโต 20 % ต่อปี

0
61

ไวด์ เฟธ กรุ๊ป ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายขนมข้าวอบกรอบจากข้าวไทย 100% ทุ่มงบ 800 ล้านบาทก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จ.ชลบุรี การขยายกำลังการผลิตครั้งนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 18,568 ตันต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40,168 ตันต่อปี เมื่อโรงงานผลิตอีกสองแห่งที่เหลือสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ พร้อมทั้งเสริมศักยภาพในกระบวนการวิจัยและพัฒนา บริษัทฯมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่ทันสมัยและมีนวัตกรรม โดยใช้กระบวนการ “อบ” แทนการทอด ซึ่งปราศจากไขมันทรานส์ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น โรงงานแห่งใหม่นี้ยังรองรับการผลิตขนมข้าวในรูปแบบ Original Design Manufacturer (ODM) มากกว่า 70 รสชาติ ซึ่งจะช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในระดับโลก และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 20% เมื่อเทียบกับปี 2567  ขณะที่ตลาดขนมข้าวแบบบรรจุภัณฑ์ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 4.94%

นายโอลิเวอร์ เย้ กรรมการผู้จัดการ ไวด์ เฟธ กรุ๊ป (Wide Faith Group) เปิดเผยว่า ไวด์ เฟธ กรุ๊ป คือผู้เชี่ยวชาญในการผลิตขนมข้าวอบกรอบจากข้าวไทย 100% โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 ภายใต้แนวคิด “Better for You” ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่า 23 ปี โดยทีมงานที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอาหารมากกว่า 30 ปี ด้วยความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัย และพัฒนาขนมขบเคี้ยวแบบอบที่ไม่ผ่านการทอด พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ได้รับการรับรองในระดับสากล โดย บริษัทฯ เริ่มก่อตั้งโรงงานแห่งแรกในปี พ.ศ. 2545 บนพื้นที่ 8 ไร่ และขยายโรงงานแห่งที่สองในปี 2557 บนพื้นที่ 13 ไร่ ทั้งสองโรงงานตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางพลี จ.สมุทรปราการ ใช้เงินลงทุนรวม 500 ล้านบาท ต่อมาในปี 2558 บริษัทฯ ได้ลงทุนเพิ่มอีก 800 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงานแห่งใหม่ โดยการย้ายเครื่องจักรจากโรงงานแห่งแรกไปยังนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จ.ชลบุรี บนพื้นที่ 34 ไร่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้าง เครื่องจักร อุปกรณ์ และนวัตกรรมการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น Wide Faith Group จึงตัดสินใจยุติการดำเนินงานของโรงงานแห่งแรกในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเร่งติดตั้งสายการผลิตใหม่ในโรงงานจังหวัดชลบุรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้รองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อการปรับปรุงแล้วเสร็จในปี 2568 บริษัทจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิม 18,568 ตันต่อปี จาก 6 สายการผลิตใน 2 โรงงาน เป็น 40,168 ตันต่อปี ด้วยการขยายโรงงานเพิ่มอีก 2 แห่งในจังหวัดชลบุรี พร้อมติดตั้งสายการผลิตเพิ่มเติมอีก 6 สาย รวมถึงการยกระดับกระบวนการวิจัยและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้โรงงานของ บริษัท ฯ ยังได้รับการการรับรองเกรด AA จาก BRCGS เพื่อรับรองมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 และฮาลาล พร้อมทั้งผ่านการทดสอบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปลอดกลูเตน (Gluten Free) ทุกชนิด  บริษัทยังส่งเสริมการรีไซเคิลพลาสติกด้วยบรรจุภัณฑ์แบบ Mono Material โดยเปลี่ยนมาใช้พลาสติกชนิดเดียว (PP – Polypropylene) ทั้งหมดในบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ 100% เพื่อลดการสร้างขยะในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดความยั่งยืนของบริษัทในการส่งเสริมการรีไซเคิล และแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค

นายโอลิเวอร์  กล่าวเสริมว่า กระบวนการผลิตของบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดของเสียในสายการผลิต และการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ โดยเฉพาะวัตถุดิบหลักมาจากข้าวไทย 100 % เพื่อสนับสนุนเกษตรกรไทยผู้ปลูกข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทยสู่สินค้านวัตกรรมที่ทันสมัย แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมสุขภาพของผู้บริโภค และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ปัจจุบันบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการจัดซื้อข้าวจากเดิม 10,000 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 20,000 ตันต่อปี  หลังจากเปิดสายการผลิตใหม่อย่างเต็มรูปแบบ

ทั้งนี้ ไวด์ เฟธ กรุ๊ป ยังได้รับรางวัล “CSR-DIW CONTINUOUS AWARD 2023” จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (Department of Industrial Works – DIW) ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้แก่สถานประกอบการที่ดำเนินกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง ตามมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม

โดยผลิตภัณฑ์ทุกแบรนด์จากบริษัท ฯ ได้รับพัฒนาให้มีความอร่อยที่มาพร้อมกับสุขภาพที่ดี ใช้กรรมวิธีการอบ ไม่ทอด
ไร้ไขมันทรานส์ ไม่มีกลูเตน ไม่ใส่ผงชูรส ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์หลากหลายแบรนด์ ได้แก่ Rise Buddy, Ravin, Bio-Earth และ Kiddie Kare พร้อมให้บริการในรูปแบบ Original Design Manufacturer (ODM) ซึ่งเป็นการออกแบบและผลิตขนมอบจากข้าวไทยให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ โดยมีมากกว่า 70 รสชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก โดยผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์มีวางจำหน่ายครอบคลุมทั่วโลก อาทิ ภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา, บราซิล, ยุโรปเหนือ, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, แอฟริกาใต้, สหราชอาณาจักร รวมถึงภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก เช่น ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ไต้หวัน และ ฟิลิปปินส์ โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดเพิ่มเติมไปยัง แคนาดา, รัสเซีย, แอฟริกา และภูมิภาคอื่น ๆ  ซึ่งจากการออกบูธงาน THAIFEX – Anuga Asia 2025 ที่ผ่านมา Wide Faith Group ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากพันธมิตรต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นวัตกรรม Rice Chippies และ Rice Sticks

 

นายโอลิเวอร์ ยังระบุด้วยว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 341.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี พ.ศ. 2567 ถึง 2572 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 6.08% โดยในปี 2567 ที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยการบริโภคขนมขบเคี้ยวปริมาณเฉลี่ยต่อคนในตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 5.2 กิโลกรัม และตลาดขนมขบเคี้ยวจากข้าว (Rice snack) ทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่า 5.48 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 โดยตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) มีส่วนสนับสนุนการเติบโตถึง 84% และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 4.94% จนถึงปี 2573

 

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ขนมอบจากข้าวไทยของ Wide Faith Group มีมูลค่าการตลาดทั่วโลกสูงถึง 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดหลัก ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Wide Faith Group ครองส่วนแบ่งตลาดในออสเตรเลียถึง 36% หรือคิดเป็นมูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากขนาดตลาดรวม 41.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในนิวซีแลนด์ บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาด 45% หรือประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากขนาดตลาดรวม 11.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

สำหรับตลาดในประเทศไทย ขนมขบเคี้ยวมีมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเซกเมนต์ขนมจากข้าว ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ด้วยศักยภาพดังกล่าว บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นทำตลาดแบรนด์ ไรซ์ บัดดี้ (Rise Buddy) ในประเทศไทยเป็นหลัก โดยได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ “ไรซ์ บัดดี้ ไรซ์ ชิปปี้ส์ (Rise Buddy Rice Chippies)” อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2567 พร้อมพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ “นนกุล – ชานน สันตินธรกุล” ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ ผลิตภัณฑ์มีทั้งหมด 6 รสชาติ ได้แก่ ศรีราชา (Sriracha), ชิลลี่แอนด์ไลม์ (Chili&Lime), บาร์บีคิว (BBQ), ซาวร์ครีมแอนด์ออเนียน (Sour Cream & Onion), ซีซอลต์ (Sea Salt) และชีส (Cheese) ขนาด 50 กรัม ราคา 29 บาท โดยจำหน่ายผ่านทาง ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, ท็อปส์ ฟู้ดฮอลล์, ฟู้ดแลนด์, กูร์เมต์ มาร์เก็ต (เดอะมอลล์) และร้าน Turtle ในสถานี BTS และช่องทางออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, TikTok Shop รวมถึงคาราวานโรดโชว์ รถ Yummy Truck ที่จะส่งมอบความกรอบอร่อยทั่วประเทศ

 

“ด้วยประสบการณ์มากกว่า 30 ปีในการพัฒนาขนมข้าวของไวด์เฟธตั้งแต่วันแรก แนวทางที่แตกต่างจากผู้เล่นรายใหญ่รายอื่นเริ่มต้นขึ้น ด้วยกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์และออกแบบเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงความฝันจากไรซ์เค้ก (Rice cake) ไรซ์แครกเกอร์ (Rice crackers)  เซมเบ้ (Senbei ) หรืออาราเระ (Arare) แบบดั้งเดิมให้กลายเป็น “ไรซ์แครกเกอร์แบบไวด์เฟธ” ที่มีลักษณะ “บางกว่า กรอบกว่า และรสชาติอยู่ได้นานกว่า” ก้าวถัดไปคือการพัฒนานวัตกรรมขนมข้าวแผ่นอบกรอบ (Rice Chips) รูปแบบใหม่ เพื่อมาแทนที่มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ (Potato Chips)  อย่างไรก็ตาม การพัฒนาและนวัตกรรมนี้จะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ๆ จะถูกนำเสนอและเปิดตัวสู่ตลาดโลกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นผู้นำทิศทางของขนมข้าวและทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสความอร่อยอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมข้าวของ ไวด์ เฟธ กรุ๊ป”  นายโอลิเวอร์กล่าวสรุป