ต่าย ชุติมา เคาะสนิมหวนงานละคร พร้อทเผยเรื่องหย่า ทิม อยู่ในกระบวนการ

0
1028

 

หวนลงละครในรอบหลายปี สำหรับสาวต่าย ขุติมา กับซีรี่ส์เรื่องแรกในชีวิต “Mother เรียกฉันว่าแม่” โดยเจ้าตัวเผยต้องเคาะสนิท หลังจากห่างหายไปนาน พร้อมอัพเดทชีวิตครอบครัวที่สาวต่ายเผยยังอยู่ในกระบวนการพูดคุยกันมนเรื่องการหย่า ซึ่งตนไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ แต่คาดว่าน่าจะเรียบร้อยในปีนี้

ถามถึงการมารับละครในรอบหลายปี เป็นยังไงบ้าง?
“จริงๆ ก่อนหน้านี้เล่นหนังไปแล้วแต่ก็ยังไม่ได้โปรโมท แต่ถ้าเป็นเรื่องของซีรีส์เนี่ยน่าจะเป็นเรื่องแรกในอาชีพการงานเลยดีกว่า เพราะว่าก่อนหน้านี้จะเล่นภาพยนตร์กับซิทคอม นี่ก็จะเป็นซีรีส์เรื่องแรกจริงๆที่ได้มาลองแสดงฝีมือ”

อะไรที่ทำให้ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้?
“จริงๆคือชอบพล็อตอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นภาพยนตร์ Original มาจากญี่ปุ่น แล้วเรื่องนี้ก็ได้รับการตอบรับจากทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีว่าเป็นเรื่องที่มีความเข้มข้น เนื้อเรื่องน่าติดตาม”

เกี่ยวกับเรื่องแม่ด้วยไหม เพราะในเรื่องเราก็เป็นแม่เหมือนกัน?
“ใช่แต่ว่าในเรื่องคือตรงข้ามเลย ห่างไกลมากสำหรับแม่ในเรื่องกับตัวจริง”

แบบนี้ทำการบ้านยังไง?
“ทำการบ้านยังไง จริงๆน่าจะเป็นเรื่องท่องบทมากกว่า ถ้าบทได้อินเนอร์ทุกอย่างมันก็จะมาเอง เราต้องมั่นใจกับบทก่อน”

ยากกว่าการเล่นหนังเล่นซิทคอมที่ผ่านมาไหม?
“ก็นิดนึง แต่ว่าจริงๆเดี๋ยวนี้การถ่ายทำก็เป็นสไตล์ภาพยนตร์อยู่แล้ว ก็จะไม่ยาก แต่ว่าถ้าเป็นละครสมัยก่อนก็จะแอบกลัวนิดนึง แต่พอดีอันนี้เขาจะถ่ายภาพสไตล์หนัง”

ต้องเคาะสนิมใหม่หมดเลยไหม?
“ก็นิดนึง ยังดีที่ก่อนหน้าที่ก่อนหน้านี้เราเล่นภาพยนตร์มาก่อน เมื่อเดือนที่แล้ว คือมันได้เคาะสนิมบ้างกับบทที่มันเบาๆ บทที่มันไม่ได้ดราม่าขนาดนี้ มันก็เป็นแบบ คู่พึ่งแต่งงานใหม่ มีความกุ๊กกิ๊ก มีความเฮฮานิดนึง”

พอรับซีรีส์ก็คือหนักเลยเรื่องนี้?
“หนัก คือคิวแรกก็จะแบบร้องไห้ 3 ซีน โดนตบ 3 ซีน ก็เลยแบบ วันนี้โดนตบอีกแล้ว”

พอถ่ายซีรีส์แล้วแบ่งเวลาดูแลน้องยังไง?
“เราก็จะรับเฉพาะวันที่น้องไม่อยู่ค่ะ”

ถือว่ากลับมารับงานเต็มตัว?
“ใช่ค่ะ”

คือเราเลี้ยงน้องแค่เสาร์อาทิตย์หรือเปล่า?
“ไม่ค่ะ ก็เลี้ยงเยอะ แต่ก็ให้คิวถ่ายได้ในวันที่น้องไม่อยู่ ก็จะไม่ค่อยมีวันให้เขา เพราะว่าอย่างกองหนังที่แล้วก็บอกเขาว่าคิวยากมากเลย ไม่ค่อยมีเวลา”

แสดงว่าเอาลูกไว้ก่อนเป็นหลัก?
“ใช่ๆ ก็ต้องดูแลเขาระดับหนึ่ง”

ต่ายเป็นเวรวันไหนบ้าง วันศุกร์เสาร์อาทิตย์?
“ก็มีการเปลี่ยนแปลง มันก็เลยได้อีกเยอะ”

เพราะเข้าใจกันมากขึ้นเลยมีโอกาสอยู่กับลูกมากขึ้นไหม?
“ไม่เกี่ยว ก็เป็นไปตามความเหมาะสม”

ตัวเราเองรู้สึกยังไงบ้างที่มีเวลาอยู่กับลูกมากกว่าก่อนหน้านี้?
“ก็คือยังไงก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่ดีนั่นแหละ เวลาที่เขาไม่อยู่ ไม่งั้นก็ต้องดูทุกรายละเอียด ความสะอาด ลงทุกรายละเอียดของเขา ก็พยายามทำให้ดีที่สุดเหมือนเวลาที่เขาอยู่กับเรา ถ้าน้องไม่อยู่เราก็จะฝากนู่นนี่นั่นตามที่เราเป็นห่วง”

เป็นห่วงอะไรบ้างฃ่วงนี้?
“ก็อย่างเรื่องเชื้อโรค คือเชื้อโรคนี่ก็เป็นห่วงมาตั้งแต่เด็กๆแล้วแหละ แต่ยิ่งมีความทวีคูณขึ้น แล้วก็เรื่องฝุ่น เรื่องของมลภาวะ อยากให้เขาใส่เครื่องฟอกอากาศไว้ อยู่ในบ้านก็อย่าเปิดหน้าต่างนะ เปิดเครื่องกรองอะไรแบบนี้ เพราะเครื่องกรองอากาศเราก็ใช้แบบดีที่สุดแล้ว ถ้าไปอยู่ในที่ๆเครื่องไม่โอเราก็จะกังวล”

ได้ข่าวว่าไปเซ็นใบหย่าแล้วจริงไหม?
“ก็ยังเป็นเรื่องในกระบวนการอยู่ ยังไม่อยากลงรายละเอียด”

สบายใจขึ้นไหมในช่วงเวลาที่ผ่านมา?
“จริงๆมันก็สบายใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วแหละ หมายถึงว่าตั้งแต่แรกเริ่มที่มีเรื่องทุกอย่างมันก็ดีขึ้น”

ยืนยันว่ายังไม่ได้เซ็นอะไรทางกฎหมาย?
“ก็ยังพูดไม่ได้ มันอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย เขาก็จะมีคำสั่งออกมา”

มันจะยืดเยื้อไปอีกนานไหม?
“ก็ไม่น่านาน”

จะจบภายในปีนี้?
“น่าจะ”

ความสัมพันธ์กับคุณทิมคุยกันมาขึ้นไหมคะ?
“ก็เหมือนเดิม ก็คุยเรื่องลูก”

จะได้เห็นโมเมนต์ดีๆผ่านทางโซเชี่ยลมากขึ้นไหม?
“ไม่ทราบค่ะ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ เราก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้ติดใจอะไร ทำทุกอย่างออกมาจากใจ”

เตรียมคำตอบไว้บ้างหรือยัง ถ้าโตขึ้นแล้วน้องถาม?
“ก็พูดทุกอย่างตามความจริง เพราะว่าไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เพราะแน่นอนถ้าเราปิดบังเขา เขาก็ปิดบังเรา ตั้งเลี้ยงเขาให้เป็นเหมือนเพื่อนสนิท ที่เราบอกเขาได้ทุกเรื่อง เขาก็บอกเราได้ทุกเรื่อง”

รอแค่เวลาให้น้องถามเฉยๆใช่ไหม?
“ใช่ ก็ถ้าเขาอยากรู้อะไร ก็ยินดีที่จะเล่า”

มีการถามไหมว่าอยากอยู่บ้านพ่อหรือบ้านแม่?
“เขาจะเข้าใจอยู่แล้วค่ะ ว่ากิจวัตรเขาเป็นยังไง”

พิพิมก็คืออยู่ในช่วงปรับตัวได้เรียบร้อย?
“ก็ดีขึ้น ทุกทุกวันก็คือดีขึ้น”

ตอนนี้ทำรายการเอง?
“ใช่ๆ รายการ Rabbit on the มู มูแบบมูเตลู ก็จะเปิดรายการที่เราจะพาชิมพาเที่ยว ว่ามีอะไรแถววัดหน้าทานแล้วก็จะพาไปไหว้พระ ดูฮวงจุ้ย อะไรที่เกี่ยวกับสายมูอ่ะ รู้สึกว่าคนเรามันเก่งอย่างเดียวไม่พอ มันต้องบวกเฮงด้วย ไม่งั้นทำไมบริษัทใหญ่ๆตั้งหลายบริษัทถึงต้องมีซินแส มีการทำพิธี อย่างวันนี้ก็มาบวงสรวง ก็ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ก็ต้องใช้วิจารณญาณในการทำด้วย ต้องไม่ทำอย่างงมงาย ทำไปบนหลักวิทยาศาสตร์ ว่าทำแล้วได้ไหม ทำแล้วเป็นยังไง ผลเป็นยังไง ดูแล้วก็วิเคราะห์ไปด้วย”

แสดงว่ามาจากไลฟ์สไตล์ที่เราเราชอบอยู่แล้วใช่ไหม?
“จริงๆที่บ้านก็เป็นสายทำบุญ ตั้งแต่อยู่ในท้องเลย เขาก็จะเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่อยู่ในท้องเนี่ยมาทำสังฆทานที่วัดนี้นะ วัดท่าซุง ทำตลอด ทำทุกเดือน เราก็จะแบบวนเวียนอยู่กับการทำบุญ ปล่อยปลาก ทุกอย่างที่เป็นเรื่องพวกนี้”

เรียกว่าทำมาจากความเชื่อตัวเองเลย?
“คือถ้าทำอะไรในสิ่งที่ดี ก็จะได้รับอะไรที่ดีๆ แต่ต้องทำบนพื้น อย่างฮวงจุ้ยมันก็เป็นหลักวิทยาศาสตร์เหมือนกัน มันเป็นเหมือนการเก็บสถิติ แบบถ้าบ้านนี้ทำอะไรแล้วดีก็มีการเก็บข้อมูลเป็นตำราขึ้นมา