เรียกว่าเผชิญหน้ากันแบบดุเดือดในรากยาดัง จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอีกรอบ สำหรับบุ๋ม ปนัดดา และ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ โดยล่าสุดทางบุ๋ม ปนัดดา ได้เผยว่า ในวันนั้นตนไปในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าที่ต้องไปพูดในรายการ และมีการเผชิญหน้ากัน ตามที่ได้มีคลิปภาพออกไป ส่วนในเรื่องของการฟ้องร้องตนให้ทนายเป็นคนจัดการดูแล พร้อมเปิดใจรับอุปการะเด็กกว่า 30 ชีวิต
ความรู้สึกวันนั้นที่ต้องเผชิญหน้า กับ ส.ส. ปารีณา?
“ก็ต้องเอาตามตรงว่าไม่สบายใจหรอก ที่เราต้องเจออะไรแบบนี้นะคะ เพียงแต่ว่าวันนั้นเป็นคิวงานที่บอกมาล่วงหน้าอยู่แล้วหกเดือนเพราะว่าบุ๋มเป็นพรีเซ็นเตอร์ของผลิตภัณฑ์ เริ่มแรกจากการ ที่เราไปนั่งทอร์คสินค้าเหมือนกับทุกๆ วันที่เราเป็นพรีเซ็นเตอร์ ดังนั้นวันนั้นก็ตกใจอยู่เหมือนกันเพราะว่าไม่มีใครแจ้งล่วงหน้าว่าจะต้องเจอใครและไม่มีคิวที่จะต้องให้สัมภาษณ์เรื่องอื่นๆ ด้วย เราว่าเราจบแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรารู้สึกว่าบังเอิญมีแฟนคบับส่งมาให้เห็นถึงโพสต์อีกฝั่งหนึ่งมากกว่าว่าอย่าหนีนะ เราก็ช็อคสิคะประมาณเกือบๆ เที่ยงคืนแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้ที่ไม่แจ้งเรา แต่บุ๋มก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเรา และมันไม่แฟร์กับสินค้าเพราะว่าสินค้าซื้อเวลาออกรายการถูกไหมคะ แต่ต้องมาเจอดราม่าแบบนี้ก็กลัวว่าจะขายได้หรือเปล่าหรือภาพสินค้าจะเป็นอย่างไรบุ๋มก็ให้สินค้าเคลียร์เองแล้วกัน เขาต้องเป็นคนตัดสินใจเพราะเขาเป็นคนจ่ายตังค์นะคะ บุ๋มก็โอเคไม่เป็นไรให้สินค้าเป็นคนคุย ก็คุยไปคุยมาเขาสรุปว่าขอเน้นขายดีกว่า อย่าลืมนะคะว่าช่วงโควิดที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าทุกคนจะขายได้ดีและเขาก็รอคิวมาหกเดือนเต็ม บุ๋มก็โอเคยังไงก็ได้ แต่บุ๋มอ่ะพร้อมชน คือตามสไตล์เรา แต่เพียงว่าสินค้าขอเราไว้ว่าไม่อยากมีดราม่าบุ๋มก็โอเคเราไปในนามพรีเซ็นเตอร์ไม่ได้ไปเอง แต่วันนั้นเสร็จแล้วเขาก็โทรมาทางAEก็โทรมาเคลียร์ว่าไม่มีแล้วนะอะไรแบบนี้ แต่วันรุ่งขึ้นมดดำโทรมาหาบุ๋มแล้วบอกว่าขอได้ไหมว่าจะต้องมีเขาอยู่ในรายการ บุ๋มก็บอกว่าแล้วมันจะออกมาเป็นยังไงคุยกับสินค้าหรือยัง เขาก็บอกว่าเป็นสินค้า ตัดสลับให้เห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะมา ก็คือบุ๋มทอร์คสินค้าไปก่อนนะ เสร็จแล้วก็เดินออกเลย แล้วให้เขาพูดไป ก็เหรอ แล้วมันจะแฟร์กับเราหรอ จะหาว่าเราหนีหรือเปล่า มันก็มีหลานคำถามเกิดขึ้นกับบุ๋มเหมือนกันนะ เพียงแต่เราก็รู้สึกว่าเราก็ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถามว่าถ้าเป็นบุ๋มสมัยก่อนนะบุ๋มเดินหนีแล้วแหละ ไม่สนหรอก บุ๋มจะไม่แคร์ด้วย อะไรที่บุ๋มไม่ถูกใจหรือว่าไม่ถูกต้องผมก็จะเดินหนีของบุ๋มเลย แต่วันนั้นไม่ใช่เราหันไปมองตาเจ้าของสินค้า เราหันไปมองตาตัวแทนจำหน่าย บุ๋มรู้สึกว่าเราสงสารเขา เขาหวังตรงนี้มานานมากแล้ว แล้วเรามาเดินสะบัดบ๊อบด้วยอารมณ์ส่วนตัวมันก็คงไม่ใช่มืออาชีพ เราก็รู้สึกว่าเราก็คงต้องเผชิญหน้าแหละ แต่ก็ขอเผชิญหน้าแบบที่เราแฟร์ๆหน่อย เพราะว่าเราไม่ได้มีสิทธิ์เลือก เราก็โอเคขอฟังหน่อยแล้วกันว่าเขาจะพูดอะไร มันก็เลยออกมาเป็นในรูปแบบอย่างที่เห็นค่ะ”
ได้คุยกันนอกรอบไหม?
“ไม่มีค่ะ มีแค่ตอนเดินเพราะว่าเขาก็พยายามเดินมาหาเรา เห็นไหม เราก็ถามเลยดีกว่าว่าอะไรเพราะคนเรามันเคลียร์กันได้มันก็ควรจะเคลียร์มันไม่ควรมานั่งทะเลาะกันอะไรแบบนี้ เพราะต่างคนก็ต่างทำงานเพื่อสังคมด้วยกัน ก็ไม่น่าจะต้องมานั่งทะเลาะอะไรแบบนี้ เพราะว่าเราก็อยู่ของเราเฉยๆ บุ๋มยังเชื่อว่าคนเรามันน่าจะคุยกันได้ แต่ในเมื่อเขาก็ยังเป็นอย่างที่เห็น ก็ตอบไม่ตรงคำถามก็โอเคไม่เป็นไร ก็อย่างที่เห็นค่ะว่ามันออกมาในรูปแบบนั้น บุ๋มก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดในการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าค่ะ ”
แต่การเจรจาในรายการดูเหมือนจะไม่ลงรอยกัน สรุปจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง?
“ถ้าฟ้องคงฟ้องแหละค่ะ เพราะเขาบอกว่าเขาจะฟ้องบุ๋มเหมือนกัน”
รอให้เราฟ้องก่อน?
“ทำไมต้องรออ่ะ”
จะฟ้องข้อหาอะไรบ้าง?
“ก็เห็นชัดอยู่เนาะ เอารูปไปแล้วยังพูดในรายการอีกว่าเสี่ยงในสังคมอะไรแบบนั้น เราก็จ้ะ”
ในแพลนของเราตั้งใจจะฟ้องเมื่อไหร่?
“บุ๋ม ให้ทนายจัดการอยู่แล้วค่ะ บุ๋มคงไม่เข้าไปยุ่งเองเพราะว่าบุ๋มก็ทำงานของบุ๋มอยู่ทุกวันเรื่องแบบนี้ผมว่าทางกฎหมายก็ว่ากันไปตามกฎหมายอยู่แล้ว”
ล่าสุดได้คุยกับทางทนายแล้วหรือยัง?
“อ๋อ..เรียบร้อยแล้วค่ะ ก็ให้ทนายจัดการในเรื่องของเอกสารค่ะเขาก็จัดการดูแลในทุกอย่างคดีก็ไม่ได้ยากอะไรค่ะ”
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมความกัน?
“ยอมความจะไปอยู่ในช่วงของการไกล่เกลี่ยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ ณ ตอนนี้คือส่งฟ้องตามหลักฐานค่ะ ต้องไปเองไหม ยังไม่ทราบค่ะแต่ตอนนี้จ้างทนายแล้วก็อาจจะไม่ต้องไปมั้ง คือเอาตามตรงนะตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้นพี่เหนื่อยมากและเครียดมาก เพราะเราอยู่ของเราเฉยๆและเรารู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับเรา ดังนั้นขออยู่เงียบๆขออยู่นิ่งๆ ขอทำงานของพี่ต่อ เพราะคิวงานของพี่ยังไม่ได้หยุดเลย นะพี่ลงพื้นที่ตลอดเลย ดังนั้นพี่ขอทำงานของพี่ต่อไป ไม่อยากยุ่งเกี่ยวและวุ่นวายอะไรแล้ว มางานบุญก็ขอเป็นงานบุญจริงๆดีกว่า ”
ในส่วนของการบงสมัคร ส.ส. เห็นบอกมีคนชวนเยอะ?
“ก็ให้ทางเลขาฯเป็นคนรับหน้าแทน เพราะพี่คงไม่อยากไปอยู่ในจุดนั้นแหละ ยิ่งมาเจออะไรแบบนี้นะเราจะยิ่งรู้สึกว่าน่ากลัวจัง ขอทำงานตรงนี้เหมือนเดิมดีกว่านะ อะไรที่มันไม่ดีไม่ถูกต้องก็ให้มันเป็นไปตามกฏหมายจบ ”
เปอร์เซ็นต์ในการลงการเมืองของเรามีความคิดไหม?
“ จริงๆพี่ก็อยู่ของพี่มานานแล้วนะ แต่เป็นในส่วนของงานวิชาการ ไม่ได้มาในส่วนอื่นนะ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำงานในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเพราะตำแหน่งมันไม่ได้มีความจำเป็น ประชาชนก็ไม่ได้กินดีอยู่ดีขึ้น แต่สิ่งที่เราทำต่างหากคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับประชาชน ดังนั้นก็ขอทำงานเหมือนเดิมดีกว่าค่ะ พี่อยู่ตรงนี้มาเป็น 10 ปีแล้วนะ แต่ไม่เห็นต้องบอกใคร บางคนก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าพี่ทำงานในตำแหน่งอะไรมาแล้วบ้าง ก็ไม่เคยต้องมานั่งบอกใครเพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับประชาชนสิ่งที่เกิดขึ้นและผลงานต่างหากมันคือสิ่งที่สำคัญจบ”
แต่ละพรรคเขามีข้อเสนออะไรเป็นพิเศษไหม?
“โอ๊ย..หลากหลายค่ะ ก็จะเป็นพี่ๆที่รู้จักกันบ้างบางท่านก็เป็นพรรคเก่าที่เราเคยรู้จัก ที่เราเคยร่วมงานแล้วก็ออกมาตั้งพรรคของตัวเองก็มี เราก็เลยบอกว่าโอเคงั้นไม่ดีกว่า เพราะว่าพี่ไคนนั้นเราก็รู้จัก คนนี้เราก็รู้จัก และบุ๋มเองยังรู้สึกว่าสนุกกับงานในวงการบันเทิงเพราะว่าถ้าไปตรงนั้นเราทำแบบนี้ไม่ได้ อีกเนาะ เสียดาย ยังเสียดายงาน เสียดายตัวค์ในวงการค่ะ ก็ขอทำงานในตรงนี้ เพราะเราเองก็ยังมี งานเยอะอยู่นะรายการก็เกือบ 10 รายการดังนั้นถ้าบุ๋มทิ้งตรงนี้ไปใครจะทำต่อ แต่ก็คงมีแหละ เพียงแต่ว่าบุ๋มก็ยังคงสนุกกับงานในวงเหมือนเดิม แล้วงานยังเยอะอยู่ค่ะ ”
ถามถึงโมเมนต์ไปเจอลูกบุญธรรมหน่อย?
“โห..ดีใจมาก จริงๆดูแลเด็กคนนี้ตั้งแต่ก่อนได้นางสาวไทย จนกระทั่งเป็นนางสาวไทยแล้วเป็นอะไรแล้ว ตอนนั้นเขาอยู่ป.3เอง เดินไปกลับโรงเรียนวันละ6กิโล เรารู้สึกสงสารเขา ก็เลยดูแลเขามาโดยตลอด แต่บางช่วงเขาเองก็เติบโตขึ้น สู้ชีวิตด้วยตัวเองก็มีค่ะ จนกระทั่งเขาเองก็เป็นคุณครูและก็กลับไปสอนบนดอยอย่างที่เห็น ก็รู้สึกปลื้มใจค่ะ ที่เราได้อนาคตของชาติดีๆอีกคนหนึ่ง เพื่อไปกระจายความรู้ให้กับเด็กในท้องถิ่นต่อ และดีใจที่ได้เอาไอศครีมไปให้เด็กบนดอย เวลาที่เห็นรอยยิ้มของเด็กเหล่านี้นะ มันจะทำให้เรารู้เลยว่าเวลาที่เขาเห็นไอศครีมสักก้อนนึงนะ เพราะปีหนึ่งเขาได้กินแค่หนเดียว เราจะรู้เลยว่าไอ้ปัญหาที่เราเจออยู่มันเรื่องเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับความเป็นอยู่ของเด็กยากจนเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่าจะได้กินอะไร ไม่รู้ว่าอนาคตจะไปเดินตรงไหน ไม่รู้อนาคตเขาอยากจะเป็นอะไร ขอแค่วันนี้เขาผ่านพ้นไปได้ก็พอแล้ว เราก็เลยจะรู้สึกว่าที่เราเจอมามันกระจอกมากๆกับปัญหาของเด็กเหล่านี้ ดังนั้นขอเจอรอยยิ้มของเด็กเหล่านี้กลับมาเป็นพลังให้ตัวเองก่อนดีกว่า หลังจากนี้ผมก็จะไปอยู่แบบนี้ตลอด ”
ยังมีเด็กที่อุปการะอีกไหม?
“ถ้าจะเป็นแบบเปิดเผยชื่อเห็นหน้าคือ 5 คน แต่ถ้ารวมในกลุ่มที่โดนข่มขืน โดนล่วงละเมิดอะไรมาเกือบๆ30 ก็แล้วแต่รูปแบบ ถ้าเขามีญาติดูแลอยู่แล้ว เราก็อาจจะดูแลในเรื่องของสุขภาพจิต ดูแลกันจนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนเราก็จัดในส่วนของทุนการศึกษาให้ บางคนต้องจับย้ายโรงเรียนเพราะไม่สามารถเรียนที่เดิมได้คือดูแลกันหลากหลายรูปแบบมากหรือบางคนก็ต้องติดต่อทางจิตแพทย์ในการดูแลเขา เราก็ยังดูแลและมีจุดยืนของเราเหมือนเดิมในการดูแลผู้เสียหาย ดูแลเด็กๆด้านนี้ค่ะ ล่าสุดกำลังจะมีอีกหนึ่งเคสที่บุ๋ หนักใจเป็นพี่น้องสองคนที่โดนพอล่วงละเมิดทั้งคู่ แล้วยังไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ เรียนที่ไหนต่อ ต้องจัดการชีวิตเขาต่อ เวลาที่เราดูแลไม่ใช่เพียงแค่ไปแจ้งความอย่างที่เห็นในภาพนะคะเราดูแลสุขภาพจิต ดูแลความเป็นอยู่ ดูแลหลายต่อหลายอย่างค่ะ”
มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือไหม?
“มีค่ะ จริงๆ มีหน่วยงานรัฐดูแลอยู่แล้วบ้าง แต่เฉพาะในบางส่วนและบางพื้นที่ค่ะ บางส่วนก็อาจจะไม่ถึงค่ะ ก็ต้องดูแลเองค่ะ ทำงานตรงนี้เป็น 30 ปีไม่งั้นก็คงจะไม่ได้เป็น 30 คนขนาดนี้ แต่เพียงแต่ว่าเราก็อดไม่ได้อยู่ดี ที่จะไม่ดูแลเขา ไม่ช่วยเขา ”