อ๊อฟ ปองศักดิ์น้ำตาคลอ ขอโทษแฟนๆ ต้องเลื่อนคอนเสิร์ต หลังแม่ทรุดด้วยโรคมะเร็ง

0
722

 

ออกมาแถลงข่าวทั้งน้ำตา ขอโทษแฟนๆ ต้องเลื่อนคอนเสิร์ตใหญ่ Magic Night Concert คืนมหัศจรรย์วันของ อ๊อฟ ปองศักดิ์ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 5-6 ตุลาคมนี้ ออกไปก่อน สำหรับอ๊อฟ ปองศักดิ์ และบอสใหญ่อย่างพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา เพื่อทุ่มเวลาในการดูแลคุณแม่อย่างเต็มที่ หลังอาการทรุดจากการป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งคอนเสิร์ตดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2563 แทน โดยสำหรับผู้ที่ซื้อบัตรไปแล้ว สามารถไปเปลี่ยนบัตรได้ หรือหากใครไม่สะดวกในการดูคอนเสิร์ตดังกล่าวก็สามารถขอแลกเงินคืนได้ที่ไทยทิคเก็ต เมเจอร์ ทุกสาขา

พี่ฉอด “วันนี้ก็รบกวนนิดหนึ่งนะคะที่ชวนทุกคนมาคุยกันนิดหนึ่ง พี่ว่าทุกคนคงทราบกันแล้วในเรื่องที่เราขออนุญาตเลื่อนคอนเสิร์ตของอ๊อฟไปนะคะ ซึ่งความจริงแล้วเราจะบอกในวิธีการอื่นก็ได้ เพียงแต่ว่าด้วยเหตุผลที่มันเป็นเรื่องค่อนข้างเซ็นซิทีฟ และพี่รู้สึกว่าถ้าพี่พูดไปเดี๋ยวน้องๆคงจะมาตามสัมภาษณ์อ๊อฟอยู่ดี เลยคิดว่างั้นมานั่งบอกกันตรงนี้จะได้ทีเดียวไปเลย อ๊อฟเองเขาก็คงไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้บ่อยๆอยู่แล้วนะคะ คือปีนี้ Change Showbit เราได้แถลงข่าวไปตอนต้นปีว่าเราจะมีคอนเสิร์ตทั้งหมด 4 ครั้งด้วยกัน ซึ่งผ่านไปแล้ว3 งาน คือ 4 แยกปากหวานฯ ,เดอะ เรียล ณเดชน์ ,และ J ADRENALINE 360° นะคะ ทั้ง3คอนเสิร์ตก็ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ปีนี้ก็จะเหลืออีกหนึ่งคอนเสิร์ตในวัน 5-6 ตุลาคมนี้ คือ Magic Night Concert คืนมหัศจรรย์วันของ อ๊อฟ ปองศักดิ์ จริงๆเราตั้งใจจะแถลงข่าวกันในวันที่ 12 และมีเปิดขายบัตรไปเมื่อไม่กี่วันมานี้และกำลังเริ่มในเรื่องของการทำงานต่างๆ ก็จะเป็นคอนเสิร์ตที่เราตั้งใจว่าเป็นครั้งหนึ่งที่เราคงจะสนุกกันเต็มที่เพราะอ๊อฟไม่ได้มีคอนเสิร์ตเดี่ยวมา 5 ปีนะคะ ก็มีการเชื้อเชิญแขกรับเชิญตัวพ่อตัวแม่ทั้งหลายของวงการที่คิดว่าจะได้มีสนุกกันเต็มที่ พี่ฮาย ,พี่ตั๊ก ,พี่โจ๊ก โซคูล,ปุยฝ้าย เราไปได้น้องมีมี่มาจากเมืองจีน และมีน้องนนท์ ธนนท์ เราก็เตรียมสนุกกันเต็มที่นะคะ แต่ว่าในระยะเวลาที่ผ่านมานั้น เราได้ทราบตลอดว่าอ๊อฟมีปัญหาเกี่ยวกับคุณแม่ป่วย ก็ได้รับทราบเรื่องนี้มาตลอด เพียงแต่ว่าเรื่องราวอาการของคุณแม่ก็อาจจะเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพี่ให้อ๊อฟเป็นคนเล่าให้ฟังแล้วกันว่าอาการคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

อ๊อฟ “ก็จริงๆ แล้วตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นวันเดียวกันกับที่เราจะไลฟ์ขายบัตรในวันที่ 17 สิงหาคม ซึ่งในวันนั้นตอนเช้าคุณแม่เกิดสโตรกขึ้นมา เหมือนอยู่ดีๆก็น็อกไปเลย และเราก็ทำใจลำบากเหมือนกันกับการที่เราจะมาไลฟ์ มีความสุข แฮปปี้ในการที่เราจะพูดถึงคอนเสิร์ต แต่ว่าคือในใจอ๊อฟ The Shoe must go on แล้วตัวอ๊อฟเองก็คุยกับพี่ฉอด พี่ฉอดเขาก็ทราบว่าคุณแม่เข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้า พี่ฉอดก็บอกอ๊อฟว่าถ้าไม่ไหวเรื่องงานไม่ต้องห่วงนะ เอาเรื่องสภาพจิตใจตัวเองให้แข็งแรงก่อน แต่ว่าตอนนั้นอ๊อฟรู้สึกว่าตัวเราเองน่าจะยังไหว เลยดำเนินทุกอย่างตามปกติของการทำคอนเสิร์ตมาเรื่อยๆ แต่ด้วยอาการของคุณแม่ที่มันมีแต่เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น อ๊อฟเลยคิดกับตัวเองว่าเราจะเอายังไงดีนะ ในขณะที่สภาพจิตใจครึ่งหนึ่งของเรา เราต้องห่วงคุณแม่ เราต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด เพราะว่าด้วยอาการคุณแม่คือซีกขวาทั้งหมดไม่สามารถขยับได้ กลืนเองไม่ได้ พูดไม่ได้ สมองส่วนที่รับรู้ก็ทำงานได้ไม่ดี มันเลยทำให้เราต้องใช้เวลาทั้งหมดที่เรามีตอนนี้ไปในการดูแลเขาอย่างดีที่สุด อ๊อฟเลยขอพี่ฉอดว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นไปได้ไหมที่เราจะเลื่อนออกไป พี่ฉอดก็บอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เพราะว่าพี่ว่าการที่เราขึ้นไปแบกรับความรับผิดชอบ การสร้างความสุขในขณะที่ตัวเราเองไม่ได้มีความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็ไม่แฟร์สำหรับคนดูที่เขาซื้อบัตรคอนเสิร์ตของเราไปแล้ว อ๊อฟเลยขอพี่ฉอด พี่ฉอดก็โอเค และมีการมาบอกกล่าวกับพี่ๆ นักข่าวในวันนี้ เพราะตอนที่เราตั้งใจจะจัดคอนเสิร์ตนี้ เราก็บอกด้วยความจริงใจและเต็มใจว่าเราจะทำคอนเสิร์ตนี้ ในเมื่อมันเกิดเหตุการณ์ที่พวกเราเองรวมถึงทุกคนที่ทำงานและตัวอ๊อฟเอง อ๊อฟก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องมาบอกพี่ๆ นักข่าวและฝากบอกทุกๆ คนที่ซื้อบัตรไปแล้วด้วยครับ”

พี่ฉอด “จริงๆแล้วคุณแม่เป็นมะเร็งและรักษาตัวมาระยะหนึ่งแล้ว”

อ๊อฟ “จริงๆ คุณแม่เป็นมะเร็งมาอยู่ประมาณ 10 ปีแล้ว ก็สู้มาตลอด คุณแม่เป็นมะเร็งตั้งแต่ที่มดลูก ดีขึ้น และมาเป็นที่ปอด ตับอ่อน และตอนนี้ที่ปอดมันติดกับซี่โครง มันเลยเข้ากระดูก และมีที่สมอง ซึ่งตอนแรกเราทำทุกอย่างหมดแล้วครับ เรารักษาด้วยการทำคีโม รอบหนึ่งจะอยู่ที่ประมาณสิบกว่าเข็ม เราทำประมาณ 3 รอบครับ และมันก็อย่างที่เห็นมันไม่ได้ดีขึ้น ฉายแสงแล้วตรงส่วนบริเวณสมอง มันก็ดีขึ้น ซึ่งก่อนวันที่ 15 สิงหาคม เราเช็คอัพล่าสุด 2 เดือนกว่าๆที่ผ่านมา คุณหมอบอกว่าโอเค ไม่ต้องห่วงที่สมองแล้ว เราก็ไปให้ความสำคัญที่บริเวณอื่นแทน แต่ว่าพอวันที่ 15 สิงหาคม มันกิดเหตุการณ์นั้น ก็คิดว่าเส้นเลือดในสมองแม่ตีบฉับพลันหรือเปล่า แต่พอเช็คไปเช็คมาและดูทุกอย่างแล้ว คุณหมอบอกว่าที่บริเวณสมองเนี่ย สาเหตุที่ซีกขวาและกระบวนการรับรู้ของเขาน้อยลง รวมถึงการกิน การพูดของเขาที่ไม่สามารถทำเองได้ มันเกิดจากก้อนมะเร็งที่อยู่ที่สมอง ที่เราเพิ่งเช็คกันเมื่อประมาณ 2 เดือนกว่ามันโตขึ้นอย่างเร็วมาก เลยทำให้ไปเบียดเส้นเลือดบริเวณสมองซีกซ้ายที่เป็นส่วนบังคับซีกขวา ถ้าจะเรียกว่าตายก็บอกไม่ถูกครับ บอกไม่ได้ว่ามันตายหรือเปล่า แต่มันเป็นเหมือนเลือดมันไปเลี้ยงไม่ได้ มันบวมและมันไปเบียดทับเส้นเลือดบริเวณต่างๆของสมอง ก็ที่อ๊อฟเห็นในฟิล์มเอ็กซเรย์มันประมาณนี้ แต่คุณหมอบอกว่าน่าจะเกิดจากลูกก้อนมะเร็งที่อยู่ตรงนี้ ทำให้บริเวณรอบๆ ที่เห็นในฟิล์มเอ็กซเรย์เหมือนเป็นเนื้อสมองที่ไม่มีเลือดไปเลี้ยง”

ตอนนี้การรับรู้ของคุณแม่เป็นยังไงบ้าง?
อ๊อฟ “รับรู้ได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์พูดได้แบบใช่ , เจ็บ, โอ้ย พูดที่เป็นประโยคที่เราเข้าใจไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถคอนโทรลปาก ระบบลิ้น หรือระบบพูดของเขา”

คือตอนนี้ต้องดูแลคุณแม่ยังไงบ้าง?
อ๊อฟ”ตอนนี้นอกเหนือจากเวลางานที่รับไว้แล้วทั้งหมดก็จะทุ่มอยู่กับคุณแม่ แล้วก็คุณแม่อยู่โรงพยาบาลเพราะว่าถ้าเกิดเขาไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเขากลับไปที่บ้าน วิธีการดูแลใครจะมาฟีดข้าวให้ ในเรื่องของความสะอาดด้วยรวมถึงเวลา สถานที่ต่างๆ ที่เราไม่ได้พร้อมขนาดนั้นที่บ้านเรา เลยคิดว่าอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ใกล้กับหมอดีที่สุด เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาตอนนี้ที่คุยกับคุณหมอก็คือรักษาตามอาการปวด ก็ให้มอร์ฟีน แต่ตอนนี้คุณแม่รับมอร์ฟีนทุกๆ 3 ชั่วโมงพร้อมกับแปะแผ่นมอร์ฟีน เพื่อให้อาการปวดมันดีขึ้น แต่เขาก็จะปวดขึ้นมาเป็นระยะๆ ช่วงแรกๆ คือแบบทำอะไรไม่ได้เลย ตัวอ๊อฟเองสภาพจิตใจทำงานก็ไม่ได้ อันนี้คือหมายถึงตัวเองอ๊อฟเองนะ สภาพจิตใจมันทำงานไม่ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่เราเคยทำ เพราะอ๊อฟรู้สึกว่ามันมีช่วงเวลาหนึ่งในใจเราที่เราขึ้นมายืนร้องเพลงบนเวทีกำลังสร้างความสุขแล้วเรามีความสุจริงๆหรอวะในการอะไรแบบนี้”

ทำให้ต้องมีการแคนเซิลงานโชว์ตัวของเราเลยไหม?
อ๊อฟ “งานโชว์ตัวเป็นงานที่แคนเซิลยาก เพราะมันเป็นอะไรที่มีสัญญาอยู่แล้ว แล้วเราต้องเข้าใจระบบของคุณจ้างก่อน ถ้าเกิดว่ามีคนที่สามารถขึ้นมาโชว์ในแบบที่เขาต้องการและคาดหวังจากอ๊อฟมาแทนได้ เขาก็ยินดีที่จะเปลี่ยน แต่ในสายตาของคนจ้างส่วนใหญ่เขาไม่ได้คิดว่าจะมีใครที่สามารถโชว์ได้แบบอ๊อฟ เพราะฉะนั้นงานที่อ๊อฟเคยรับไว้ก็จะต้องดำเนินตามความรับผิดชอบต่อไป”

แล้วงานหลังจากวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา?
อ๊อฟ “งานหลังจากนี้ก็อย่างที่อ๊อฟบอกทุกๆ วินาทีที่ตั้งแต่วันที่ 15 ที่ผ่านมา เวลาส่วนใหญ่อ๊อฟก็จะให้คุณแม่”

พี่ฉอด “คือจริงๆจะมีช่วงนี้เป็นช่วงที่ตอนที่เราจะทำคอนเสิร์ต เดิมอ๊อฟก็จะไม่รับงานอยู่ช่วงนึง เพื่อเตรียมการทำคอนเสิร์ต แต่จะมีบางงานที่รับไว้แล้วและเซ็นสัญญาไว้แล้ว คือต้องบอกก่อนว่าตัวออกเองเขาเป็นคนที่รับผิดชอบในหน้าที่เพราะฉะนั้นถ้าวันหนึ่งที่เขาจะต้องขึ้นไปยืนบนเวทีเพื่อทำหน้าที่ของเขา ตอนที่อ๊อฟ…คือพี่ก็บอกมาตลอดว่าไม่เป็นไรเรื่องของนางพี่เคลียร์ได้ พี่จัดการเองให้เป็นหน้าที่พี่ แต่เขาก็มีความคิดว่าเขาทำได้มาโดยตลอด แต่ในมุมของพวกเรากันเองหมายถึงพี่ฉอดและทีมงานทั้งหมดก็ต้องยอมรับว่าคอนเสิร์ตอ๊อฟเป็นคอนเสิร์ตที่มีความสนุกสนานสูง อ๊อฟเขาเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่เราก็หวังว่าจะสนุกๆขำ พี่รู้สึกว่ามันดูจะใจร้ายเกินไปที่เราจะต้องบอกเขาว่าออกสนุกสิสนุกสิในวันที่เขาแบบ (อ๊อฟร้องไห้) ปกติก็จะเป็นแบบนี้ คือถ้าไม่พูดถึงเขาจะไม่เป็นไร อย่างที่บอกว่าอ๊อฟเองเขาไม่ได้อยากพูดเรื่องแบบนี้ เขาไม่อยากเป็นภาระให้กับใคร เขาไม่อยากให้พวกเราต้องลำบากไปกับเขา ไม่ต้องแปลกใจถ้าไปไหนแล้วเห็นเขาหัวเราะตลอดเวลา ขนาดพี่ถามเขาว่าเป็นยังไง เขายังหัวเราะเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องตกใจนะคะ ถ้าเกิดจากนี้ไป เขาหัวเราะอยู่ เราเองก็เกรงเหมือนกันว่าเดี๋ยวจะมีความดราม่าเกิดขึ้นว่าทำไมอ๊อฟยังหัวเราะอยู่ เขาหัวเราะตลอดเวลาอยู่แล้ว อ๊อฟเป็นคนที่มีความตั้งใจและเขาไม่อยากทำให้คนที่อยู่ข้างๆ เขาต้องมากังวลไปกับเขา มีเราเท่านั้นที่รู้ว่าข้างในเขารู้สึกยังไง พี่รู้สึกว่ามันคงใจร้ายเกินไปที่จะต้องบอกว่าอ๊อฟสนุกซิ อยู่บนเวที เลยคิดว่าอย่าเลยอ๊อฟ คือเราไม่ได้จพยกเลิกเราแค่เลื่อนเวลาออกไป เรายังมีความรับผิดชอบ คือต้องขอโทษกับคนที่ซื้อบัตรไปแล้วและขอโทษกับทุกๆส่วนด้วยแต่ว่ามันเป็นภาระที่มันหนักหนาเกินไปจริงๆเกินกว่าที่เขาจะรับได้ ตอนนีเในแง่ของใครก็ตามที่ซื้อบัตรไปแล้วถ้าเปลี่ยนใจไม่อยากดูแล้วก็ไม่เป็นไรก็คือบัตรเราก็คืนสตางค์ได้ แต่ถ้าเกิดยังอยากจะดูต่อเราก็เลื่อนคอนเสิร์ตอ๊อฟจากวันที่ 5-6 ตุลาคมนี้ไปเป็นวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งเราได้สถานที่ในวันนั้น ตอนนี้ก็กำลังเช็คคิวแขกรับเชิญต่างๆอยู่ว่ายังเหมือนเดิมหรือเปล่าหรือว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง เดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบอีกที แต่เรามีความตั้งใจเต็มที่ในการทำคอนเสิร์ตของอ๊อฟให้ดีที่สุดและให้สนุกที่สุด เพียงแต่ว่าเราขอเวลาในการที่จะดูแลอะไรต่างๆให้เรียบร้อยก่อน รวมถึงสภาพจิตใจของเขาด้วย”

อ๊อฟให้กำลังใจตัวเองและครอบครัวยังไงบ้าง?
อ๊อฟ “ก็…อ๊อฟพูดกับแม่นะอ๊อฟบอกว่าคือเขาพูดไม่ได้ในการที่จะตอบโต้กับเรา แต่ว่าอ๊อฟพูดกับแม่ว่า แม่จำวันที่อ๊อฟเดินไม่ได้ได้ไหม วันที่อ๊อฟเดินไม่ได้แล้วแม่นั่งรถเมล์มาเพื่อที่จะเฝ้าเราตั้งแต่เวลาที่เริ่มเยี่ยมจนถึงเวลาที่เลิกเยี่ยม แล้วแม่ทำอย่างนั้นอยู่ตลอด 2 เดือนกว่าๆที่เราป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลแม่ดีใจไหมที่เห็นอ๊อฟเดินได้ก้าวแรก แม่ก็พยักหน้าเออ..อ๊อฟก็เลยบอกว่าแม่รู้ไหมกับแค่แม่ขยับจับอะไรในร่างกายฝั่งขวาที่แม่ทำไม่ได้แล้วมันขยับได้สักนิดนึงมันก็เป็นเหมือนกำลังใจให้กับอ๊อฟและพวกเราด้วยนะและอ๊อฟก็พูดด้วยความที่เป็นอ๊อฟเนอะ บอกกับแม่ว่า แม่อีกอย่างแม่ก็รู้ใช่ไหมว่าอ๊อฟเป็นกะเทย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นลูกที่เป็นกะเทยเขาก็ต้องอยู่ติดกับแม่อยู่แล้ว พี่น้องคนอื่นๆ ของอ๊อฟ ลูกแม่คนอื่นๆ เขาก็มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว ถ้าเกิดแม่ชิงทิ้งอ๊อฟไปก่อน แล้วอ๊อฟจะคุยกับใครจะมานั่งเล่าเรื่องชีวิตตัวเองว่าตัวเองเจออะไรมาบ้าง จะคุยกับใคร แม่เขาก็เออ… อ๊อฟว่ามันเหมือนเป็นกำลังใจให้กัน ตัวอ๊อฟเองเวลามีอะไรก็พยายามคุยกับเขาเหมือนเขาอยู่บ้านอยู่กับเราตลอด และอ๊อฟสารภาพตรงๆตรงนี้ว่าทุกวันนี้ออกยังนั่งส่งไลน์หาเขาอยู่เลย อ๊อฟหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ให้สักวันหนึ่งเขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาได้เห็นข้อความในทุกๆวันที่เราส่งไปหาเขา”

เวลาที่ไปเยี่ยมคุณแม่ คุณแม่มีกำลังใจสู้ไหม?
อ๊อฟ “อ๊อฟอยู่กับเขาทุกวัน ไปเฝ้าเขาทุกวัน ไปนอนกับเขาบ่อยๆ แล้วถ้าเกิดไม่ได้ทำงาน ก็จะอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด อย่างที่อ๊อฟบอกว่าอ๊อฟไม่อยากที่จะพลาดแม้แต่วินาทีเดียวที่เขาสามารถมีปฏิกิริยาทางร่างกายที่มันดีขึ้น อ๊อฟแค่รู้สึกว่าอ๊อฟไม่ได้หวัง ไม่ได้ขอร้องให้มันเกิดปาฏิหาริย์ว่า แม่จะต้องกลับมาเหมือนเดิม คือเราไม่ได้เป็นคนโลกสวย เราคุยกัน คืออ๊อฟกับแม่สนิทกันมากๆ เราเหมือนเพื่อน เพราะฉะนั้นเวลาเราคุยเราจะพูดกันตรงๆ อ๊อฟบอกแม่ว่ามันไม่เหมือนเดิมไม่เป็นไรแต่อย่างน้อยที่สุด มันต้องดีขึ้น แต่ถ้าเกิดว่ามันไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นสิ่งที่อยากจะขอก็คือว่าขอให้มีความสุขที่สุดในเวลาที่มีอยู่”

ตอนเราไปเยี่ยมแม่เราต้องเข็มแข็งขนาดไหน?
อ๊อฟ “คือในขณะที่เขาไม่เจ็บไม่ปวด ไม่โอด ไม่โอย เราจะรู้สึกโอเคมาก แต่ว่าในจังหวะที่เขาเจ็บขึ้นมาเมื่อไหร่ โอยขึ้นมาเมื่อไหร่ สิ่งที่ทำได้คือหันหน้าหนี แล้วก็กลืนน้ำตาลงไป จะไม่ร้องไห้ให้แม่เห็น ยิ้มให้อย่างเดียว เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาเป็นอยู่ หรือสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ เขาเป็นภาระให้เรา ซึ่งจริงๆมันไม่ใช่ภาระเลย แต่ว่าคนที่เขานอนอยู่ตรงนั้น แล้วเขาเห็นทุกๆคนมาเยี่ยม แล้วด้วยสีหน้า ด้วยบางทีที่อาจจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เขาก็ต้องรู้สึกบ้างเล็กน้อยแหละ แล้วช่วงแรกๆ อาทิตย์แรกหลังจากวันที่ 15 ที่ผ่านมา มันเป็นช่วงที่หนักมาก ไม่ได้นอนเลย เพราะแม่เขาจะเอาทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าออกหมดเลย แล้วเหมือนครั้งหนึ่งอ๊อฟไปจับมือเขา ก็บอกว่าแม่ทำอะไร แม่ก็จับมืออ๊อฟ แล้วก็ก็มองหน้า เหมือนจะส่งสัญญาณว่าไม่ต้องห้ามฉัน ในการที่ฉันจะดึงออก(เครื่องช่วยหายใจ) แต่อ๊อฟก็บอกว่าแม่ ไม่ได้นะ ทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเกิดว่าแม่ดึงออก เขาก็ต้องเสียบเขาไปใหม่อยู่ดี เพราะยังไงพวกอ๊อฟก็ยังไม่ยอมให้แม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เพราะยังไงอ๊อฟก็ต้องให้มันสุดๆ”

คุณหมอบอกเราว่าอย่างไรบ้าง?
อ๊อฟ “คุณหมอเขาก็รักษาตามอาการเลย เพราะว่าคุณแม่ทำทุกอย่างหมดแล้ว กินยาที่เมื่อวานเราโพสต์รูปไป ก็มีคนส่งกำลังใจมาเยอะมาก ในอินบล็อก ในอินสตาแกรม ว่าลองวิธีนี้ วิธีนั้นสิ อ๊อฟก็บอกว่าขอบคุณมากๆเลย ที่ทุกคนแนะนำมาก แต่ว่าวิธีต่างๆที่ทุกคนบอก อ๊อฟก็ได้พยายามกันมาหมดแล้ว แล้วก็ยาที่แพงที่สุด อะไรที่มันดีที่สุด เราก็หามาให้หมดแล้ว แต่ว่ามันก็ไม่ได่ตอบสนองกับร่างกายทุกๆคน เพราะฉะนั้นเราก็ทำได้แค่รักษาตามอาการ ปวดก็ให้ยา”

ตอนนี้เราก็ยังมีงานจ้างอยู่ใช่ไหม?
อ๊อฟ “เดือนนี้ไม่มีแล้วครับ เพราะว่าจริงๆแล้วเดือนนี้มันเป็นเดือนแห่งการซ้อมคอนเสิร์ต ซึ่งอ๊อฟก็มาตัดสินใจในระยะเวลากระชั้นชิดมากเหมือนกัน คือตัวอ๊อฟเอง ก็รู้สึกผิดนะ ที่จะเดินมาบอกพี่ฉอด ว่าพี่อ๊อฟขอเลื่อนได้ไหม ทั้งๆที่คอนเสิร์ตมันก็ได้ดำเนินการทำแล้ว เพื่อที่จะสำเร็จในวันที่ 5-6 แต่ด้วยสภาพจิตใจอ๊อฟ อ๊อฟก็ตัดสินใจยากมากนะ”

พี่ฉอด : “ในทางตรงกันข้าม เรารออยู่แล้ว เรารู้อยู่แล้ว ว่ามันไม่ได้หรอก แต่ว่าก็ไม่อยากจะเป็นคนตัดสิน ว่าอย่าทำเลย ก็แล้วแต่อ๊อฟแล้วกัน แต่ใจจริงๆคือแอบแบบว่า ตอนที่คุณแม่จะมีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 เนี่ย ยังเคยแอบคิดด้วยซ้ำไป ว่าอยากให้คอนเสิร์ตมันลุล่วงไปได้ แล้วคุณแม่ไปนั่งดู (เสียงสั่น น้ำตาคลอ)”
อ๊อฟ : “อือ(ร้องไห้)”
พี่ฉอด : “แต่พอวันนั้นมันมีเหตุการณ์เกิดขึ้น เราก็รู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่อยากเป็นคนบอกเอง ว่าเลื่อนหรืออะไร ก็เอาแบบนี้ แล้วแต่อ๊อฟก็แล้วกัน เราซัพพอร์ตทุกอย่างแล้วกัน”

อยากฝากอะไรไปถึงแฟนๆไหม?
อ๊อฟ : “ก็อยากจะบอกว่าขอบคุณนะครับ ที่ตั้งแต่วันแรกที่อ๊อฟบอกว่าจะมีคอนเสิร์ต แล้วทุกๆคนให้การสนับสนุนอย่างดีมากๆ แล้วก็น่ารักมากๆนะครับ ก็ตอนแรกอ๊อฟตั้งใจว่าอยากจะให้คอนเสิร์ตที่จะเล่นในวันที่ 5-6 นี้ มันออกมาอย่างเต็มที่ แล้วก็สนุกที่สุด คนดูได้รับสิ่งที่พวกเราตั้งใจจะนำเสนอ ความสุข ความอบอุ่น ความสนุกอย่างเต็มที่ แต่ว่าที่อ๊อฟต้องออกมาขอเลื่อน เพราะว่าอ๊อฟรู้สึกสงสาร แล้วก็รู้สึกเห็นใจ ว่ามันไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรมกับคนที่ซื้อบัตรไปแล้ว แล้วเขาตั้งใจอยากจะมารับความสนุก ทั้งๆที่ตัวเราเอง ที่เป็นคนสร้างความสุขบนเวที มันไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น ก็ถ้าเกิดว่าใครที่ยังอยากจะดู อย่างที่พี่ฉอดบอกอะครับ ก็เก็บบัตรคอนเสิร์ตไว้ แล้วก็ไปเปลี่ยนวัน ที่ไททิกเก็ตเมเจอร์ แต่ถ้าเกิดว่าใครที่ด้วยเวลาในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ ปีหน้า ไม่ได้แล้ว จะไม่ดู เราก็ยินดีครับ แล้วก็สามารถไปคืนเงินได้ด้วย ก็หวังว่าทุกคนคงจะเข้าใจในจุดนี้ แล้วก็ไม่อยากใช้เวลานี้ในการพูดว่าไปดูคอนเสิร์ตด้วยนะครับ(ยิ้ม)”

พี่ฉอด : “ก็จริงๆต้องขอบคุณทุกส่วนจริงๆนะคะ ตั้งแต่เราสรุปกันว่าจะเป็นแบบนี้ ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีมากๆ จากทุกส่วนของงาน ไม่ว่าจะเป็นสปอนเซอร์ของเรา หรือว่าพารากอน ไททิกเก็ต ทุกๆคน หลังจากที่รู้เหตุผลแล้ว ทุกคนก็ซัพพอร์ตเป็นอันดีมากๆนะคะ สนับสนุนแล้วทุกคนก็เข้าใจด้วย ก็ขออภัยไปยังคนดูที่ซื้อบัตรแล้ว กับความจำเป็นที่ต้องเลื่อน แต่ก็ยังยืนยันอยู่ค่ะ ว่าในวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ เราก็ยังจะตั้งใจทำงานนี้ให้มันดีที่สุดเหมือนเดิมนะคะ ส่วนเรื่องแขกรับเชิญ อย่างที่บอก มีบางท่าน ที่พอถึงเลื่อนไปตรงนั้น อาจจะติด ก็กำลังแก้ไขปัญหากันอยู่ ก็เดี๋ยวอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็จะแจ้งให้ทราบนะคะ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องสื่อที่มาวันนี้ด้วยนะคะ ฝากเผยแพร่เรื่องราวอันนี้ไปด้วย วันนี้ตัวเราเองกับทีมของ Change showbiz เราก็ขออภัยในเหตุสุดวิสัยอันนี้ แต่ก็จะยังคงตั้งใจทำงานให้มันดีที่สุดต่อไป แต่อย่างที่เรียนไว้ว่าจริงๆแล้วอ๊อฟไม่ได้บอกเรื่องคุณแม่ป่วยให้ใครได้ทราบสักเท่าไหร่ จะเห็นว่าในโซเชียลของเขา เฟซบุ๊ก ไอจี เขาไม่เคยโพสต์รูปคุณแม่ป่วยเลย เขาเป็นคนที่ไม่อยากจะเศร้าต่อหน้าใครๆ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ สิ่งที่เขาโพสต์เมื่อวานนี้ ก็เพราะว่าวันนี้จะมาคุยกันตรงนี้ เขาถึงได้ขออนุญาตคุณแม่ว่าเขาจะโพสต์นะ เลยมีภาพโพสต์ลงไปในไอจี นั่นก็เป็นภาพแรก ตั้งแต่คุณแม่ป่วยมา พี่เดาว่าเขาเองก็คงไม่อยากจะพูดเรื่องนี้บ่อยๆ เรายังคุยกันเลย ว่าหลังจากที่ได้คุยเรื่องนี้กันอย่างเปิดเผยแล้ว เราก็คงจะห้ามไม่ได้สำหรับความเป็นห่วงเป็นใย หรือใดๆก็ตาม ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ เพียงแต่อยากจะบอกว่าการที่เขายิ้ม หัวเราะ ก็ไม่ได้หมายความว่าข้างในเขาไม่เศร้า เพียงแต่ว่าการที่เขายังคงดำเนินชีวิตไปตามปกติ ก็ไม่ได้หมายความว่าข้างในเขาจะไม่ได้พังนะคะ ก็ฝากขอความเห็นใจตรงนี้ที อย่างพวกเรากันเองจะไม่ถามเขาเยอะค่ะ จะรอว่าเมื่อไหร่เขาจะบอก อย่างมากที่จะก็แค่ว่า เป็นไร แต่จะไม่อยากให้เขาต้องพูด หรือต้องเล่าเรื่องราวแบบนี้บ่อยๆ เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่อยากพูดกันบ่อยๆนะคะ ก็ฝากตรงนี้ไว้ด้วยแล้วกัน ก็แน่นอนว่าเราก็มีการพูดคุยกันในแง่ของโซเชียลอะไรต่างๆด้วย วันนี้ก็คงเป็นวันที่อ๊อฟคงต้องการอย่างเดียวมากที่สุด ก็คงเป็นเรื่องของกำลังใจนะคะ ก็ฝากให้กำลังใจน้องด้วยแล้วกันนะคะ”