เรียกว่าเป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับหนุ่มพีช พชร มากพอสมควร หลังจากก่อนหน้านี้เพิ่งเลิกรากับแฟนสาวแพทริเซีย กู๊ด ไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีข่าวว่าคุณแม่ แยกทางกับคุณพ่อเข้ามาอีก ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องมือที่ 3 ต่างๆ นาๆ โดยงานนี้เจ้าตัวเผยทราบปัญหามาตลอด แต่ไม่ขอลงรายละเอียดเพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัว
“ผมทราบมาสักพักแล้ว ไม่มีอะไรครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัว ผมขออนุญาตไม่พูดแล้วกัน มีพื้นที่ส่วนตัวกันบ้างก็ดี เรื่องส่วนตัวเราก็ไม่อยากพูดเรื่องครอบครัวในพื้นที่ที่เป็นส่วนรวม“
ได้เห็นข่าวที่มีคนออกมาแฉไหม?
“เห็นแต่ไม่ได้สนใจ ไม่ได้มีผลกระทบอะไร มันก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว เราก็ชิลๆ โตๆ กันแล้ว”
เราเป็นตัวกลางคอยประสานให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่อย่างไร?
“ ให้อยู่แล้วครับ เป็นหน้าที่เรา ด้วยความที่เราโตแล้ว เราเข้าใจว่าไม่ใช่ว่าตามใจเราแล้วจะได้ทุกอย่าง ถ้าเกิดว่าไม่ได้เวิร์กเหมือนเดิม ความรู้สึกในฐานะลูกก็ปกติครับ กับแม่ก็อยู่ด้วยกัน เจอกัน หลักๆ ผมอยู่กับพ่อ แต่ก็เจอแม่เกือบทุกวัน“
มันเป็นเรื่องหนักสำหรับเราไหม ทั้งเรื่องส่วนตัวเราด้วย เรื่องครอบครัวด้วย?
“เราเลือกไม่ได้ครับ ก็เป็นชาเลนจ์ชีวิตที่สนุกอีกแบบหนึ่ง คือส่วนตัวผมรู้สึกว่าปัญหาก็ไม่ได้ต่อกัน เรารู้มาสักระยะหนึ่งและจัดการได้ดีเลยไม่ได้รู้สึกอะไร โกหกตัวเองแล้วได้อะไร คนเรามีปัญหาก็ยอมรับความจริง ยอมรับปัญหาและแก้ไขปัญหาถึงจะใช่ ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวก็แฮปปี้ดี ทุกคนก็โอเค“
อย่างข่าวอักษรย่อที่ออกมามันไม่จริงใช่ไหม?
“มันเป็นเรื่องครอบครัว ผมขอไม่พูดจริงๆ ขอร้อง…นะ คนเราต้องอยู่กับความเป็นจริง แม่ผมก็มางาน ก็แฮปปี้ดี ผมยังอยู่เซ็นทรัลฯครับ ยังคงเป็นส่วนหนึ่งอยู่ครับ สำหรับกำลังใจดีๆ ก็ต้องขอบคุณครับ ก็ดีใจที่หลายๆ คนเป็นห่วง เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว“
ที่ผ่านมาเราพอจะทราบปัญหามาตลอดใช่ไหม?
“ต้องทราบสิครับ ถ้าไม่ทราบคือผมเป็นลูกที่ไม่ดีเลยนะ ก็ต้องรู้แหละ รู้มาสักระยะหนึ่งแล้ว ไม่ใช่ว่าข่าวออกวันนั้นเรื่องเกิดวันนั้นเลย ไม่ได้เรียกว่ามีเวลาทำใจ ผมว่ารู้เร็วหรือรู้ช้าก็ไม่ต่างกัน อยู่กับการแก้ปัญหาร่วมกันแบบนี้ไป“
ในฐานะลูกเราคุยกับใครมากที่สุด?
“ผมคุยกับทุกคนเลย ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งมากกว่า ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรที่เวลาอยู่บ้านแล้วแม่ไม่อยู่ เพราะผมไม่ค่อยได้อยู่บ้านอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไปจากเดิม ผมกลับบ้านดึกก็ไม่เจอใคร ตื่นมาก็ไม่มีใครอยู่บ้านแล้ว ชินกับแบบนี้แล้ว“