ตัดคอนโดทิ้ง! “นิติเวช” ไขปริศนาเวลาตาย “ลันลาเบล” ด้านทนายชี้ “น้ำอุ่น” เจอข้อหาหนัก ไม่น่ารอด! 

0
1211
ยังเกาะติดความคืบหน้าคดี “ลันลาเบล  น.ส.ธิติมา นรพันธ์พิพัฒน์” พริตตี้สาวซึ่งเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ หลังรับงานเอนเตอร์เทนชงดื่มที่บ้านหลังหนึ่ง ก่อนถูก “น้ำอุ่น รัชเดช” พริตตี้บอยอุ้มจากบ้านหลังดังกล่าวไปยังคอนโดส่วนตัว ก่อนแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทจะตามมาพบแค่ร่างไร้วิญญาณ ซึ่งตอนนี้สังคมต่างคาใจช่วงเวลาการตายของลันลาเบลว่าเกิดในช่วงเวลาไหนกันแน่ ระหว่างบ้านจุดเกิดเหตุ ในรถ หรือคอนโด
ล่าสุดรายการโหนกระแสวันที่ 26 ก.ย. โดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัดออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.45 – 14.25 น. ทางช่อง 28 ได้เปิดใจสัมภาษณ์ “นายแพทย์กฤติน มีวุฒิสม” แพทย์นิติเวชชำนาญการกระทรวงสาธารณสุข และ “ทนายเจมส์ นิติธร แก้วโต” มาพูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว
อยากรู้ในฐานะแพย์นิติเวชมองแล้วสภาพลันลาเบล น่าจะเสียชีวิตเวลาประมาณไหน ยังไง?
กฤติน : “การจะบอกว่าเขาเสียชีวิตเวลาไหนต้องใช้ข้อมูลหลายอย่างประกอบ ตอนนี้ข้อมูลเท่าที่มี มีจากการตรวจศพ การแข็งตัวของศพ ซึ่่งมันสามรถประเมินได้ว่า ณ เวลานั้น ศพน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณกี่โมง ต้องรวมกับไทม์ไลน์ต่างๆ ต้องรวบข้อมูลชุดอื่นด้วย”
หมอว่าระยะการตายเมื่อไหร่?
กฤติน : “เลขที่จะอ้างอิงเป็นเลขสมมุติ เพราะเราไม่รู้ไทม์ไลน์ที่แท้จริง อย่างแรกเลยสามารถใช้อะไรได้บ้างในการกะระยะเวลาการตาย อย่างแรกเลย ศพมีการแข็งตัว ถ้ามีการตรวจของแพทย์ตอนตีสาม พบว่าแข็งตัวเต็มที่ เราสามารถประเมินย้อนไปได้ว่าน่าจะเสียชีวิตประมาณ 15.00 -19.00 น. ถ้าดูจากข้อมูล มีข้อมูลกล้องวงจรปิดตอนที่อุ้มลงมา ตอนนั้นเห็นได้ชัดว่าศพแข็งตัวเต็มที่แล้ว ตรงข้อไหล่กับสะโพกแข็งแล้ว ที่ชัดเลยคือตอนอุ้มไปที่โซฟา แขนกาง ขากางหมดแล้ว อันนี้ค่อนข้างคิดว่าแข็งตัวเต็มที่แล้ว ในเมื่อพบการแข็งตัวของศพ ในทางปฏิบัติควรเอาข้อมูลสองชุดมาดูว่ามีช่วงคร่อมกันตรงไหนมันก็จะแคบลงมา เพราะฉะนั้นช่วงที่หนึ่งก็ 15.00-17.00  ทำให้มันใกล้เคียงที่สุด พอคนบอกว่าตอนนั้นยังคุยกัน เห็นว่ายังมีสติอยู่ ก็ตัดให้มันแคบลงไปอีก เหลือ 16.00 -17.00 ก็ทำให้มันแคบลง”
เรื่องที่เขาลากลันลาเบลไปคอนโดแล้วปัสสาวะราด?
กฤติน : “เรื่องปัสสาวะเล็ดหรือราดออกมาจากร่างกาย ไม่ได้บ่งบอกว่าเขายังเป็นสิ่งที่มีชีวิต ที่เขาบอกว่าลมปราณแตกซ่านทวารเปิดเป็นภาษาชาวบ้าน แต่ถ้าพูดง่ายๆ ปกติกระเพาปัสสาวะมีหูรูดที่คอยบีบอยู่ไม่ให้ปัสสาวะออกมาที่ท่อปัสสาวะ กรณีที่ร่างกายเสียชีวิตไปแล้ว การสั่งการจากระบบประมาท ที่มาสั่่งการควบคุมหูรูดมันก็ไม่มีการสั่งการ มันอาจมีการที่หูรูดหย่อนได้ ยิ่งมีการเคลื่อนย้ายศพ เหมือนแบกอะไร มีแรงกดทับหน้าท้อง มันก็บีบกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะเล็ดออกมาได้ การที่ปัสสาวะเล็ดออกมาช่วงเวลาไหน ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้บอกอะไรเลย”
ถ้าคิดว่าปัสสาวะราดตอนนี้ต้องตายตอนนี้ก็ไม่ใช่?
กฤติน : “ถูกต้องครับ”
จุดที่ลาเบลเสียชีวิตสำคัญกับคดีนี้มั้ย?
ทนาย : “สำคัญหลายๆ สวน ตั้งข้อกล่าวหาก็สำคัญ และจะมีส่วนไปในการแจ้งข้อกล่าวหาคนอื่น เบื้องต้นนำอุ่นใกล้ชิดศพ อาการผิดปกติต่างๆ น้ำอุ่นควรจะเห็นเป็นคนแรก”
เขาอ้างเขาแยกไม่ออก?
กฤติน : “ถ้าดูด้วยตาเปล่าก็แยกยากมาก ปกติถ้ายังไม่ตายก็สังเกตการหายใจว่ามีการเคลื่อนที่ เคลื่อนไหวของศพ แต่ถ้าคนไม่ได้สังเกต”
ทนาย : “ข้ออ้างเขาอ้างได้หมด แต่ศาลเชื่อหรือเปล่าอีกเรื่องนึง เพราะเท่าที่ดูจากข่าวประมวลจากข่าว มีความผิดสังเกตหลายจุดที่วิญญูชนเห็นแล้วน่าจะเอ๊ะ  อย่างกรณีการเมา ถ้าเมาปกติเราไปแกล้งแหย่ก็จะมีอาการตอบโต้ แต่นี่คือหมดสติเลย การหมดสติอาจเกิดจากการการเมาแล้วไม่เป็นอันตรายอย่างเดียวเหรอ มันไม่ใช่นะ การหมดสติอาจเกิดจากการช็อกก็ได้ ส่วนนนี้มองว่าเป็นความประมาทของใครกันแน่ ตรงนี้แหละถ้าเกิดในบ้าน แล้วมีคนเห็นแล้วไม่แจ้งรถพยาบาล ไม่พาส่งรพ. หรือแจ้งคนใกล้ชิดน้องให้มารับตัว อันนี้จะเป็นการประมาททำให้คนอื่นตายหรือเปล่า”
ห้าคนในงานก็โดน?
ทนาย : “ก็โดนนะ ถ้าตายในบ้าน แต่ถ้าตายในรถ น้ำอุ่นโดนเต็มๆ”
หนักมั้ย?
ทนาย : “ก็เอาแบบนี้ ใช้สิทธิ์อะไรเอาเขาออกมาจากบ้าน เขาไปรับงาน หลังเสร็จสิ้นเวลางาน คุณมีสิทธิ์อะไรเอาตัวเขาออกมา ไม่ว่าจะมีสติหรือไม่มีสติก็ตาม แล้วมาเสียชีวิตตอนอยู่ในมือคุณ ที่กักขังหน่วงเหนี่ยว นี่คือที่ตร.ตั้งข้อหา เพราะหลักฐานชัดที่สุด ด้วยการอุ้มเขาออกจากบ้าน”
ถ้าเขาพาศพไปคอนโด แล้วพามาที่โซฟา ถือว่าเคลื่อนย้ายศพมั้ย?
ทนาย : “ในมาตรา 199 ก็จะมีเจตนาเคลื่อนย้ายอำพรางศพ เพื่อปิดบังการตาย ปัญหาคือถ้าเขาต้องการซ่อนเร่นอำพรางศพ คงไม่โทรบอกญาติให้มาเอา สองเจตนาต้องรู้ก่อนว่าคือศพ ปัญหาคือเขาไม่รู้ไง ขนาดตอนเขาให้สัมภาษณ์เขายังบอกน้องหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่เลย เขาอ้างไม่รู้อย่างเดียว ก็ตัดมาตรา 199 ไปได้เลย ถ้ามีการล่วงละเมิดศพ ต้องรู้ว่าเป็นศพก่อนถึงจะมีความผิด”
กรณีพบแอลกอฮอล์ในเลือด 418 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าสูงมั้ย?
กฤติน : “สูงจนทำให้เสียชีวิตได้ครับ”
ตอนเคลื่อนย้ายจากบ้าน ถ้าตรวจตอนนั้นปริมาณแอลกอฮอลล์จะสูงกว่า 418 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์มั้ย?
กฤติน : “ต้องบอกว่ากระบวนการดูดซึมจะสิ้นสุดเมื่อเสียชีวิต ถ้า 418 และไม่มีการขับออก แสดงว่าตอนนั้นเสียชีวิตแล้ว ถ้าเป็นศพแล้วเราไปตรวจหลังจากนั้น 6-8 ชม. ไม่ได้ทำให้ผลต่างไป ถ้ารักษาสภาพศพอยู่ได้ไม่มีการเน่านะ”
ตรวจตอนนั้นกับตรวจอีกวันจะเป็นไปได้มั้ยขึ้น 800?
กฤติน : “ถ้าศพเน่าก็ขึ้นได้ แต่ไม่ได้ขึ้นเยอะ ไม่มีทางขึ้นไปถึง 800 กระบวนการเน่าเพิ่มแอลกอฮอลล์ในเลือดได้ แต่ไม่ได้เพิ่มเยอะมาก ก็ต้องเข้าใจกระบวนการดูดซึมและการขับออก”
ทนาย : “ปกติร่างกายคนมีการขับแอลกอฮอลล์ออกอยู่แล้ว แต่พอเขาเสียชีวิตมันขับออกไม่ได้ มันก็หยุด”
กฤติน : “ดูกราฟดีกว่า นี่คือระดับแอลกอฮอลล์ที่สัมพันธ์กับอาการ 400 คือสลบและเสียชีวิตได้เลย ตำราหลายเล่มก็สอดคล้อง การกินแอลกอฮอลล์หลายแก้วต่อเนื่อง ทำให้การดูดซึมระดับสูงสุดขยับไปได้นิดหน่อย แต่หลังกินแล้วมันดูดซึมระดับสงสุดได้อย่างรวดเร็ว ระยะเวลานั้นแหละเป็นระยะเวลาตายในการอนุมาน จะรู้ได้ต้องอ้างอิงให้ได้ใกล้เคียงที่สุดว่ากินแก้วสุดท้ายเมื่อไหร่แน่ๆ ก็ต้องเป็นข้อมูลตร. ที่ต้องไปสอบสวนยืนยันให้ได้มากที่สุด”
สมาร์ทวอทช์บอกเสียชีวิต 17.00 น.?
กฤติน : “ในมุมมองผม และหมอนิติเวช มันสามารถใช้ได้แต่ในระดับหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจกลไกการทำงานว่าแม่นยำแค่ไหน คลาดเคลื่อนมากน้อยแค่ไหน ต้องตรวจสอบจากกผู้ผลิต สองการบอกว่าจุดที่ชีพจรจับไม่ได้เป็นเวลาตายหรือไม่ มันดูไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มที่หายไป สมมติอัตราการเต้นหัวใจสม่ำเสมอตลอด อยู่ดีๆ หายไปลย ตรงนี้อาจเป็นปัจจัยที่คลาดเคลื่อนจากนาฬิกา อาจแบดหมดหรือถอดออกก็ได้ แต่ถ้าเป็ลักษณะที่เชื่อได้ว่ามีความผิดปกติของหัวใจอย่างต่อเนื่องก่อนจับชีพจรไม่ได้ อย่างหัวใจเต้นปตกิแล้วอยู่ดีๆ แล้วสูงปรี๊ด ขึ้นไป 150-180 มันจะเป็นกลุ่มการเต้นหัวใจผิดจังหวะ ซึ่งจะเร็วหรือช้ากว่าปกติก็ได้ แล้วถ้าหายไปเลยมันก็จะบอกได้ หรืออยู่ดีๆ มันต่ำไปเรื่อยๆ ก็น่าสงสัยได้ว่าช่วงนี้เขาผิดปกติ ถ้าเกิดการทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะก็เกิดได้หมด เหล้ากระตุ้นให้เกิดการเต้นผิดปกติของหัวใจก็ได้เหมือนกัน มันมีความสัมพันธ์กัน”
อุ่นมีสิทธิ์หลุดมั้ย?
ทนาย : “เอาตัวน้ำอุ่นก่อน เขาอยู่ใกล้ชิดศพมากที่สุด ผมว่าเขาไม่น่าจะหลุด แต่โดนข้อหาอะไรแค่นั้นเอง เบาหรือหนักอยู่ที่ระยะเวลาการตาย ถ้าตายที่บ้านแล้วเอาออกมาก็เบาหน่อย”
เขาบอกเขาบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มอม ลันบาเบลบอกดื่มเก่ง กระดกเหล้าเอง เสียชีวิตเอง?
ทนาย : “การเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกาย มี 3 วิธี หนึ่งกินเอง สองไม่รู้คือเหล้าก็กิน สามถูกบังคับ ผมว่าถูกมอมไม่น่าเป็นไปได้น้องเขามีอาชีพนี้ รู้ว่างานที่ไปคืออะไร ตัวเองรู้ตัวเองดีที่สุดว่าไหวหรือไม่ไหว ไม่มีใครบังคับจับกรอก เพราะฉะนั้นการเสียชีวิตเกิดจากตัวเองกินเองก็จะไปโทษคนอื่นไม่ได้ การเสียชีวิตเกิดขึ้นตอนไหนไม่รู้ แต่น้ำอุ่นเอาร่างเขาออกมา มีสติหรือไม่มีสติ ตายหรือไม่ตายก็ไม่รู้ ข้อหาเบาหรือหนักก็อีกเรื่อง เพราะการอนาจาร กักขังหน่วงเหนี่ยวต้องทำกับบุคคลเท่านั้น”
ถ้าคนในบ้าน ยุให้กิน?
ทนาย : “สภาพร่างกายของคน ตัวเองรู้ดีที่สุดว่าไหวหรือไม่ไหว แต่ละวันของคนไม่เหมือนกัน เมื่อวานอาจหลับน้อย อย่าไปเอามาตรฐานที่กินได้เยอะอีกวัน มาเป็นมาตรฐานตัวเองในวันนี้ เพราะที่ผ่านมาคุณอาจนอนน้อย กินมาเยอะ สะสมมาเยอะ”
ต่อให้มีแรงเชียร์ เจ้าตัวต้องรู้ตัวเอง?
ทนาย : “ถูกครับ ถ้าถูกเอาปืนมาจี้ก็อีกเรื่องนึง ข้อหาสำหรับการเอาร่างออกจากบ้านชัดเจนสุดคือการกักขังหน่วงเหนี่ยวเขา ไม่ว่าจะมีสติหรือไม่มีสติ ไม่มีสิทธิ์เอาเขาออกจากบ้าน ส่วนจะเบาหรือหนักก็อยู่ที่เขาตายที่ไหน ถ้าเขาตายทีบ้านแล้วคุณเอาร่างออกมา คุณสำคัญผิดว่าเขามีสภาพบุคคลอยู่ กรณีแบบนี้กฎหมายก็ลงโทษนะ เพราะคุณมีเจตนากระทำความผิด เพียงแต่สิ่งที่คุณทำต่อไม่ใช่มนุษย์”
ถ้าเขาตายในบ้าน อีกห้าคนนั้น?
ทนาย : “ต้องดูอีกว่ามีพฤติการณ์บ่งบอกมั้ย อาจเป็นตัวการร่วมหรือสนับสนุนอีกเรื่อง แต่ที่เห็นชัด คือการอุ้มน้องออกมา ใครเห็นแล้วไม่ทักท้วงน่าจะมีส่วน ต้องไปดูว่าทำไมเขาไม่ช่วย มีการวางแผนเป็นตัวการร่วมตั้งแต่ต้นหรือไม่ แบ่งหน้าที่กันทำหรือเปล่า หรือช่วยเหลือสนับสนุนก่อนหรือขณะกระทำความผิด”
คุณหมอคะเน คิดว่าน่าจะเสียชีวิตตรงจุดไหน บ้าน รถ หรือคอนโด?
กฤติน : “จากเหตุผลที่ผมบอก ส่วนตัวเลยคิดว่าความเป็นไปได้ น่าจะเป็นช่วงที่บ้าน หรือออกมาจากบ้านไม่นานนัก ส่วนตัวตัดคอนโดไปเลย ตอนที่อุ้มจากรถไปคอนโดน่าจะเสียไปแล้ว”
อุ่นหนักมั้ย?
ทนาย : “ถ้าอยู่ในรถก็ค่อนข้างหนัก เพราะตายระหว่างกักขังหน่วงเหนี่ยว ที่สำคัญมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นในรถมั้ย ถ้าเกิดความผิดปกติแทนที่คุณจะพาเขาไปหาหมอ คุณพาเขาไปคอนโด อันนี้จะเป็นสาเหตุที่เขาถูกลงโทษหนัก”